การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ
ความหมายการสอนแบบบูรณาการ
(สิริพัชร์ เจษฏาวิโรจน์. 2546 : 16) สำหรับการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ (Integrated
Management) หมายถึง กระบวนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามความสนใจ
ความสามารถ
โดยเชื่อมโยงเนื้อหาสาระของศาสตร์ต่างๆที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันให้ผู้เรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
สามรถนำความรู้ ทักษะ และเจตคติไปสร้างงาน
แก้ปัญหาและใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วยตนเอง
หลักสูตรบูรณาการ (Integrated
Curriculum) หมายถึง การรวมเนื้อหาสาระของวิชาต่างๆ
ในหลักสูตรที่มีลักษณะเหมือนกัน หรือคล้ายกันและทักษะในการเรียนรู้
ให้เชื่อมโยงสัมพันธ์เป็นสิ่งเดียวกัน โดยการตั้งเป็นหัวข้อเรื่องขึ้นใหม่
และมีหัวข้อย่อยตามเนื้อหาสาระ
อีกทั้งสอดคล้องกับบริบทการเรียนรู้ของสังคมอย่างสมดุล มีความหมายแก่ผู้เรียน
และให้โอกาสผู้เรียนในการปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเองให้มากที่สุด
และการสอนแบบบูรณาการ หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ใช้วิธีสอนหลายวิธี
จัดกิจกรรมต่างๆในการสอนเนื้อหาสาระที่เชื่อมโยงกัน
ตลอดจนมีการฝึกทักษะที่หลากหลาย
นักวิชาการศึกษาหลายท่าน
ได้กล่าวถึงความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการไว้ดังตัวอย่างต่อไปนี้
Lardizabal
and Others. (1970: 141) กล่าวว่า การเรียนการสอนแบบบูรณาการ หมายถึง
การสอนโดยใช้กิจกรรมการเรียนที่สอดคล้องกับจุดประสงค์
เพื่อให้ผู้เรียนสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง
ยังผลให้เกิดการพัฒนาในด้านบุคลิกภาพในทุก ๆ ด้าน ผู้เรียนสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อทุกสถานการณ์
การแก้ปัญหานี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความรู้พื้นฐาน
การสอนแบบบูรณาการจะให้ความสำคัญกับครูและนักเรียนเท่าเทียมกัน
ทำกิจกรรมการเรียนการสอนร่วมกันแบบประชาธิปไตย
กระทรวงศึกษาธิการ
(2546:19) อ้างถึงใน พระเทพเวที,2531:24) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การบูรณาการ
หมายถึงการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงศาสตร์สาขาต่างๆ ที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกันมาผสมผสานเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ที่มีความหมาย
มีความหลากหลายและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
กาญจนา คุณารักษ์.( 2522:21) กล่าวว่า
การเรียนการสอนแบบบูรณาการ หมายถึง
กระบวนการหรือการปฏิบัติเกี่ยวกับการเรียนรู้ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบทางจิตพิสัย
และพุทธิพิสัย หรือกระบวนการหรือการปฏิบัติในอันที่จะรวบรวมความคิด มโนภาพ ความรู้
เจตคติ ทักษะ และประสบการณ์ในการแก้ปัญหา เพื่อให้ชีวิตมีความสมดุล
สุมานิน
รุ่งเรืองธรรม.(2522:32) กล่าวว่า การเรียนการสอนแบบบูรณาการ หมายถึง
การสอนเพื่อจัดประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียน เพื่อการเรียนรู้ที่มีความหมาย
ให้เข้าใจลักษณะความเป็นไปอันสำคัญของสังคม
เพื่อดัดแปลงปรับปรุงพฤติกรรมของผู้เรียนให้เข้ากับสภาพชีวิตได้ดียิ่งขึ้นย่างต่อไปนี้
ผกา
สัตยธรรม.( 2523:45-54) กล่าวว่า การเรียนการสอนแบบบูรณาการ หมายถึง
ลักษณะการสอนที่นำเอาวิชาต่างๆ เข้ามาผสมผสานกัน
โดยใช้วิชาใดวิชาหนึ่งเป็นแกนหลักและนำเอาวิชาต่าง ๆ
มาเชื่อมโยงสัมพันธ์กันตามความเหมาะสม
นที
ศิริมัย.(2529:63-65) กล่าวว่า การเรียนการสอนแบบบูรณาการ หมายถึง
เทคนิคการสอนโดยเน้นความสนใจความสามารถ และความต้องการของผู้เรียน
ด้วยการผสมผสานเนื้อหาวิชาในแง่มุมต่าง ๆ อย่างสัมพันธ์กัน
เป็นการสร้างความคิดรวบยอดให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน และยังสามารถนำความคิดรวบยอดไปสร้างเป็นหลักการเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาต่าง
ๆ ได้ด้วย
โดยสรุป การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ
หมายถึง กระบวนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนตามความสนใจ ความสามารถ
และความต้องการ โดยการเชื่อมโยงสาระการเรียนรู้ในศาสตร์สาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงพฤติกรรมของผู้เรียน
ทั้งทางด้านสติปัญญา(Cognitive) ทักษะ (Skill)
และจิตใจ (Affective) สามารถนำความรู้และทักษะที่ได้ไปแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง
และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริงในชีวิตประจำวัน
การสอนแบบบูรณาการ มีกรอบแนวความคิด
ดังนี้
1. ศาสตร์ทุกศาสตร์ไม่อาจแยกจากกันโดยเด็ดขาดได้
เช่นเดียวกับวิถีชีวิตของคนที่ต้องดำรงอยู่อย่างประสานกลมกลืนเป็นองค์รวม
การจัดให้เด็กได้ฝึกทักษะและเรียนรู้เนื้อหาต่าง ๆ อย่างเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน
จะทำให้การเรียนรู้มีความหมายสอดคล้องกับชีวิตจริง
2. การจัดการเรียนรู้อย่างบูรณาการ
จะช่วยลดความซ้ำซ้อนของเนื้อหาวิชา ลดเวลาการเรียนรู้ของผู้เรียน
เป็นการแบ่งเบาภาระในการสอนของครู
3. การเรียนแบบบูรณการ ทำให้ผู้เรียนมีโอกาสได้ใช้ความคิด
ประสบการณ์ความสามารถและทักษะต่างๆ อย่างหลากหลาย
ก่อให้เกิดการเรียนรู้ทักษะกระบวนการและเนื้อหาสาระไปพร้อมๆ กัน
ลักษณะของการบูรณาการ
มีลักษณะโดยสรุป ดังนี้
(สิริพัชร์ เจษฎาวิโรจน์. 2546: 25)
1. การบูรณาการเชิงเนื้อหาสาระ
เป็นการผสมผสานเชื่อมโยงเนื้อหาสาระ ในลักษณะการหลอมรวมกันโดยการตั้งเป็นหน่วย (Unit)
หรือหัวเรื่อง (Theme)
2. การบูรณาการเชิงวิธีการ เป็นการผสมผสานวิธีการสอนแบบต่าง ๆ
เข้าในการสอน
โดยการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่หลากหลายวิธี การสนทนา
การอภิปราย การใช้คำถาม การบรรยาย
การค้นคว้าและการทำงานกลุ่ม
การไปศึกษานอกห้องเรียน
และการนำเสนอข้อมูลเป็นต้น
3. การบูรณาการความรู้กับกระบวนการเรียนรู้
โดยออกแบบการเรียนรู้ให้มีทั้งการให้ความรู้และกระบวนการไปพร้อม ๆ กัน เช่น
กระบวนการแสวงหาความรู้ กระบวนการแก้ปัญหา และ กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด เป็นต้น
4. การบูรณาการความรู้ ความคิดกับคุณธรรม
โดยเน้นทั้งพุทธิพิสัยและจิตพิสัยเป็นการเรียนที่สอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมไปพร้อม
ๆ กัน เพื่อที่นักเรียนจะได้เป็น
“ผู้มีความรู้ คู่คุณธรรม ”
5. การบูรณาการความรู้กับการปฏิบัติ
เน้นการปฏิบัติจริง ควบคู่ไปพร้อมๆ กับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
6.
การบูรณาการความรู้ในโรงเรียนกับชีวิตจริงของนักเรียน
พยายามให้เด็กได้เรียนรู้เนื้อหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของนักเรียน
เพื่อให้นักเรียนได้เห็นคุณค่าและความหมายในสิ่งที่เรียน
แนวคิดสำคัญการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ
Lardizabal and others. (1970:142-143) ได้กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ
ต้องยึดหลักสำคัญที่ว่าแกนกลางของประสบการณ์อยู่ที่ความต้องการของผู้เรียนและประสบการณ์ในการเรียนรู้
จัดเป็นหน่วยการเรียน
หน่วยการเรียนอาจแบ่งแยกออกเป็นประเภทใหญ่ได้ 3 ประเภท
1.
หน่วยเนื้อ หา (Subject – Matter Unit) เป็นการเน้นหน่วยเนื้อ
หาหรือหัวข้อเรื่องต่างๆหลักการหรือสิ่งแวดล้อม
2.
หน่วยความสนใจ (Center of Interest Unit) จัดเป็นหน่วยขึ้นโดยพื้นฐานความสนใจและความต้องการ
หรือจุดประสงค์เด่นๆของผู้เรียน
3.
หน่วยเสริมสร้างประสบการณ์ (Integrative Experience Unit) เป็นการรวบรวมประสบการณ์ หรือจุดเน้นอยู่ที่ผลการเรียนรู้และสามารถนำไปสู่การปรับพฤติกรรม
การปรับตัวของผู้เรียน
Unesco-
unep. (1994: 51) กำหนดลักษณะของการบูรณาการการเรียนการสอนไว้
2 แบบคือ
1. แบบสหวิทยาการ (Interdisciplinary)
ได้แก่ การสร้างเรื่อง (Theme) ขึ้น มาแล้วนำความรู้จากวิชาต่างๆมาโยงสัมพันธ์กับ
หัวเรื่องนั้นซึ่งบางครั้ง เราก็อาจเรียกวิธีการบูรณาการ แบบนี้ว่า
สหวิทยาการแบบหัวข้อ (Themetic Interdisciplinary Studies) หรือการบูรณาการที่เน้นการนำไปใช้เป็นหลัก
(Application – First Approach)
2. แบบพหุวิทยาการ (Multidisciplinary)
ได้แก่การนำเรื่องที่ต้องการจะจัดให้เกิดการบูรณาการไปสอดแทรก (Infusion)
ไว้ในวิชาต่างๆซึ่งบางครั้ง เราก็อาจเรียกวิธีการบูรณาการ แบบนี้ว่า
การบูรณาการที่เน้นเนื้อ หารายวิชาเป็นหลัก (Discipline – First Approach)
สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ. (2546 : 184-191) ให้แนวคิดการแบ่งประเภทการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ เป็น 3 รูปแบบ ดังนี้ คือ
สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ. (2546 : 184-191) ให้แนวคิดการแบ่งประเภทการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ เป็น 3 รูปแบบ ดังนี้ คือ
แบบที่ 1.
จำแนกตามจำนวนผู้สอน มี 3 ลักษณะ คือ
1.1 การบูรณาการแบบผู้สอนคนเดียว ผู้สอนสามารถจัดการเรียนรู้โดยเชื่อมโยงสาระการเรียนรู้ต่างๆกับหัวเรื่องที่สอดคล้องกันกับชีวิตจริงหรือสาระที่กำหนดขึ้นมาเชื่อมโยงสาระและกระบวนการเรียนรู้ทำให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะและกระบวนการเรียนรู้ไปแสวงหาความรู้ความจริงจากหัวข้อเรื่องที่กำหนด
1.2 การบูรณาการแบบคู่ขนาน
มีผู้สอนตั้งแต่ 2
คนขึ้นไปร่วมกันจัดการเรียนการสอนโดยอาจยึดหัวเข้อเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วบูรณาการเชื่อมโยงแบบคู่ขนานกันไปภายใต้เรื่องเดียวกัน
1.3 การบูรณาการแบบสอนเป็นทีม
ผู้สอนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ร่วมกันคิดหัวข้อเรื่องหรือโครงการมาโดยใช้เวลาเรียนต่อเนื่องกัน
อาจรวมจำนวนชั่วโมงของสาระการเรียนรู้ต่างๆแบบมีเป้าหมายเดียวกัน
แบบที่ 2. จำแนกตามกลุ่มสาระการเรียนรู้
แบ่งเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่
2.1 การบูรณาการภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้
เป็นลักษณะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงแนวคิด
ทักษะและความคิดรวบยอดของสาระการเรียนรู้สาระใดสาระหนึ่งนั่นเอง
2.2 การบูรณาการระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้
เป็นลักษณะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่นำเอาสาระการเรียนรู้จากหลายกลุ่มสาระมาเชื่อมโยงกันเพื่อจัดการเรียนรู้ภายใต้หัวข้อเรื่องเดียวกัน
แบบที่ 3. จำแนกตามประเภทของการบูรณาการ
แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
3.1 การบูรณาการแบบสหวิทยาการ
เป็นลักษณะการบูรณาการระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้ การนำเอาสาระการเรียนรู้จากหลายกลุ่มสาระมาเชื่อมโยงร้อยรัดให้เป็นเนื้อเดียวกันเพื่อจัดการเรียนรู้ภายใต้หัวเรื่องเดียวกัน
3.2
การบูรณาการแบบพหุวิทยาการ
เป็นลักษณะการบูรณาการที่ผู้สอนนำเอาเรื่องหรือสาระการเรียนรู้ที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
ไปสอดแทรกในสาระการเรียนรู้หรือวิชาที่ตัวเองรับผิดชอบสอน
การสร้างบทเรียนแบบบูรณาการ
การสอนตามรูปแบบที่ 1 (Infusion
Instruction) และรูปแบบที่ 2
(Parallel Instruction) มี 2 วิธีคือ
วิธีที่หนึ่ง
เลือกหัวเรื่อง (Theme) ก่อนแล้วดำเนินการพัฒนาหัวเรื่องให้สมบูรณ์ มีกำหนดวัตถุประสงค์ของกิจกรรมให้ชัดเจน
กำหนดแหล่งข้อมูลหรือทรัพยากรที่จะใช้ในการค้นคว้าและเรียนรู้และพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนและอื่นๆ ตามลำดับ
วิธีที่สอง
เลือกจุดประสงค์รายวิชาจาก 2 รายวิชาขึ้นไปก่อน แล้วนำมาสร้างเป็นหัวเรื่อง (Theme) ที่ร่วมกันระหว่างจุดประสงค์ที่เลือกไว้กำหนดแหล่งข้อมูลหรือทรัพยากรที่ใช้ในการค้นคว้าและเรียนรู้และพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนและอื่นๆ ตามลำดับ
มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
วิธีที่หนึ่ง เลือกหัวเรื่องก่อน
ขั้นที่ 1 เลือกหัวเรื่อง (Theme) โดยวิธีต่อไปนี้
1. ระดมสมองของครูและนักเรียน
2. เน้นที่การสอดคล้องกับชีวิตจริง
3. ศึกษาเอกสารต่างๆ
4. ทำหัวเรื่องให้แคบลงโดยคำนึงถึงความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับชีวิตจริงความสะดวกในการเชื่อมโยงระหว่างวิชาความรู้ และความสนใจของนักเรียน
ขั้นที่
2 พัฒนาหัวเรื่อง (Theme) ดังนี้
1. เขียนวัตถุประสงค์โดยกำหนดความรู้และความสามารถที่ต้องการ จะให้เกิดแก่ผู้เรียน
เขียนวัตถุประสงค์ในลักษณะที่จะช่วยให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างวิชา กำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนเพื่อนำไปสู่กิจกรรม
2. กำหนดเวลาในการสอนให้เหมาะสมกับกำหนดเวลาต่างๆ ตามปฏิทินของโรงเรียน เช่น
จำสอนเมื่อใด ใช้เวลาเท่าไร ยืดหยุ่นได้หรือไม่ ต้องใช้เวลาออกสำรวจหรือทำกิจกรรมนอกห้องเรียนหรือไม่ ฯลฯ
3. จองเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นในการกระทำกิจกรรม
ขั้นที่
3 ระบุทรัพยากรที่ต้องการ ควรคำนึงถึงทรัพยากรที่หาได้ง่าย แล้วติดต่อแหล่งทรัพยากร
ขั้นที่
4 พัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน ดังนี้
1. พัฒนากิจกรรมที่ช่วยให้เกิดความเชื่อมโยงกับเนื้อหาวิชาอื่น
2. ตั้งจุดมุ่งหมายของกิจกรรมให้ชัดเจน
3. เลือกวิธีที่ครูวิชาต่างๆ
จะทำงานร่วมกันเพื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างวิชา
4. เลือกวิธีการสอนที่จะใช้
5. สร้างเอกสารแนะนำการปฏิบัติกิจกรรม
6. สิ่งที่ครูควรจะต้องเตรียมล่วงหน้าอาจประกอบด้วยสิงต่อไปนี้
-
ใบความรู้
-
ใบงาน
-
แบบบันทึก
(ซึ่งอาจเป็นแบบที่ครูออกแบบให้เลย
หรืออาจเป็นแบบบันทึกที่นักเรียนจะต้องช่วยกันออกแบบก็ได้)
-
สื่อและอุปกรณ์อื่นๆ
-
แบบประเมิน
-
พยายามปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ แต่อาจปรับกิจกรรมตามความสนใจของนักเรียน
-
ดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตลอดหน่วยการเรียน
-
ร่วมมือกับครูคนอื่น มีการพบกันเป็นระยะเพื่อตรวจสอบความก้าวหน้า
ขั้นที่ 6 ประเมินความก้าวหน้าของนักเรียน โดยครูควรกระทำตลอดเวลาเพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงงานครูอาจให้นักเรียนประเมินผลตนเองก็ได้ครูควรใช้วิธีประเมินผลที่หลากหลายและให้สอดคล้องกับสภาพที่เป็นจริง เช่น
สังเกตวิธีการและขั้นตอนในการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนตรวจผลงาน ทอสอบ
ประเมินจากการนำเสนอรายงานหรือผลงานของนักเรียน
ประเมินจากการนิทรรศการของนักเรียน
การสัมภาษณ์นักเรียน ฯลฯ
ขั้นที่ 7 ประเมินกิจกรรมการเรียนการสอน โดยครูสำรวจจุดเด่น-จุดด้อย ของกิจกรรม
แล้วบันทึกไว้เพื่อนำไปปรับปรุง
ขั้นที่ 8
แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างครูด้วยกันเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนากิจกรรมในครั้งต่อๆไป
วิธีที่สอง เลือกจุดประสงค์การเรียนรู้ก่อน
ขั้นที่ 1 เลือกจุดประสงค์การเรียนรู้จาก 2
รายวิชาขึ้นไปที่จะนำมาบูรณาการกันโดยจะต้องพิจารณาว่าจุดประสงค์นั้น
ๆ เกี่ยวข้องกันหรือไม่ และเกี่ยวข้องกันอย่างไร ถ้าหากมีความสัมพันธ์เกี่ยวกันหรือไปด้วยกันได้
จึงนำมาบูรณาการกัน
ขั้นที่ 2 นำจุดประสงค์ดังกล่าวในขั้นตอนที่ 1 มาสร้างเป็นหัวเรื่อง (Theme) ที่ร่วมกันระหว่างจุดประสงค์ที่เลือกไว้ขั้นที่ 3 ระบุทรัพยากรที่ต้องการ
ขั้นที่ 4 พัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน
ขั้นที่ 5 ดำเนินการตามกิจกรรมการเรียนการสอนที่เตรียมไว้
ขั้นที่ 6 ประเมินความก้าวหน้าของนักเรียน
ขั้นที่ 7 ประเมินกิจกรรมการเรียนการสอน
ขั้นที่ 8 แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างครูด้วยกัน
สำหรับการสอนบูรณาการตามรูปแบบที่ 3 (Multidisciplinary Instruction)
และรูปแบบที่ 4 (Transdisciplinary Instruction) นั้น
เน้นที่งานหรือโครงการที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหามากกว่า 1
สาขาวิชาขึ้นไปที่จะให้นักเรียนปฏิบัติหรือศึกษา
ดังนั้นวิธีการสร้างบทเรียนแบบบูรณาการในขั้นที่
4 “การพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน” จึงเป็นการกำหนดงานหรือโครงการ (Project) ที่จะให้นักเรียนทำ
ทั้งนี้เพราะการสร้างงานหรือโครงการเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งในการสร้างบทเรียนแบบบูรณาการเพราะสามารถเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลายๆ สาขาวิชาได้ งานหรือโครงการที่นักเรียนจะต้องทำมี 4 ประเภทคือ
1. ข้อสรุป
หมายถึงข้อสรุปทั่วไปที่สร้างขึ้นจากการศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
2. กระบวนการ
หมายถึงวิธีดำเนินการโดยละเอียดในการแก้ปัญหา หรือในการทำงาน
รูปแบบการบูรณาการหลักสูตร
การบูรณาการหลักสูตรสามารถทำได้หลายรูปแบบ
ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันไป และเหมาะสมกับระดับชั้นต่างๆ กันไป Fogarty
ได้เสนอรูปแบบการบูรณาการหลักสูตร ที่น่าสนใจไว้ 10 แบบ ดังนี้คือ
1. Cellular
หรือ Fragmented เป็นรูปแบบการบูรณาการ
เนื้อหาสาระภายในวิชาเดียวกัน โดยสัมพันธ์ต่อเนื่องกันในลักษณะของการเรียงลำดับหัวข้อตามความเหมาะสม
เช่น เรียงจากเรื่องที่ง่ายไปหายาก
เรื่องที่มีความซับซ้อนน้อยไปหาเรื่องที่ซับซ้อนมากขึ้นหรือเรียงจากเรื่องที่เป็นพื้นฐานไปหาเรื่องที่สัมพันธ์ต่อเนื่องกันและกว้างขวางขึ้น
ในการสอนจะสอนตามหัวข้อที่กำหนด เมื่อจบหัวข้อหนึ่งก็ขึ้นหัวข้อใหม่ต่อไป
2. Connected
เป็นรูปแบบการบูรณาการเนื้อหาสาระภายในเนื้อหาของแต่ละวิชาเช่นเดียวกัน
แต่ในการสอนมีการเชื่อมโยงหัวข้อหรือ ความคิดรวบยอดถึงกัน เชื่อมโยงความคิดต่างๆ
ให้สัมพันธ์กัน ทำให้เห็นความต่อเนื่องหรือเกี่ยวข้องกันของเนื้อหาที่เรียนในหัวข้อต่าง
ๆ เช่น หัวข้อร่างกายของฉัน และอาหารที่มีประโยชน์ในการสอน 2
หัวข้อนี้สามารถเชื่อมโยงให้เห็นว่าร่างกายต้องการอาหารเพราะอะไร
และอาหารมีความจำเป็นต่อคนอย่างไร เป็นต้น
3. Nested
เป็นรูปแบบการบูรณาการเนื้อหาสาระภายในวิชาเดียวกันอีกรูปแบบหนึ่งแต่เพิ่มความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันมากขึ้น
คือ การบูรณาการทักษะหลาย ๆ ทักษะเข้าด้วยกันในการรวมเป็นเป้าหมายหลักของหัวข้อ
เช่น หัวข้ออาหารที่มีประโยชน์ครูนำทักษะต่าง ๆ
มาบูรณาการสอนหัวข้อนี้ได้หลายทักษะ ได้แก่ ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการคาดเดา ทักษะการตัดสินใจ
ทักษะการคิด ทักษะทางสังคม ทักษะการจัดข้อมูล
โดยตั้งประเด็นปัญหาหรือคำถามขึ้นแล้วให้นักเรียนนำทักษะเหล่านี้ไปฝึกคิด อภิปราย
และหาคำตอบ
4. Sequenced รูปแบบนี้เริ่มเป็นการบูรณาการระหว่าง
2 วิชา รูปแบบบี้สามารถทำได้ง่าย โดยการนำหน่วยการเรียนรู้ที่ใช้สอนกันอยู่มาพิจารณาความคิดรวบยอด
ทักษะหรือเจตคติของหน่วยใดคล้ายกันบ้างให้นำมาเชื่อมโยงบูรณาการกันซึ่งทั้ง 2 วิชายังสอนแยกกันอยู่ แต่สอนในเวลาเดียวกัน
ดังนั้นต้องมีการจัดลำดับการสอนหัวข้อเรื่องหรือหน่วยการเรียนต่าง ๆ ใหม่
เพื่อจะได้สอนในช่วงเวลาเดียวกันได้
อาจมีการปรับกิจกรรมการเรียนการสอนให้ชัดเจนขึ้นแล้ววางแผนว่าจะสอนในช่วงเวลาใดเพื่อสิ่งที่นำมาบูรณาการกันนั้นจะได้ประสานกันอย่างกลมกลืน
5. Shared
เป็นการบูรณาการระหว่าง 2 วิชา
โดยเนื้อหาสาระที่สอนนั้นมีสาระความรู้ หรือความคิดรวบยอดที่คาบเกี่ยวกันอยู่ส่วนหนึ่ง
ในการบูรณาการรูปแบบนี้ ต้องมีการวางแผนร่วมกัน สอนร่วมกันในส่วนที่คาบเกี่ยวกัน
โดยอาจจัดเป็นหัวข้อร่วมกัน หรือทำโครงงานร่วมกัน
และอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ได้คาบเกี่ยวกันนั้นครูก็สอนแยกกันไปตามปกติ
6. Webbed
เป็นรูปแบบการบูรณาการระหว่างวิชาหลายวิชา มีลักษณะเป็นการกำหนดหัวข้อเรื่อง
(theme) ขึ้นมา แล้วเชื่อมโยงไปสู่วิชาต่างๆ
ว่ามีประเด็นหรือเนื้อหาสาระใดที่เห็นว่ามีความสัมพันธ์กัน คล้ายคลึงกัน
หรือต่อเนื่องกัน ที่จะสามารถนำมาจัดรวมเป็นหัวข้อเรื่องเดียวกัน
เพื่อที่จะได้สอนรวมกันไปอย่างกลมกลืนได้ ในการบูรณาการรูปแบบนี้จะบูรณาการกี่วิชาก็ได้
ขึ้นอยู่กับประเด็นเนื้อหาสาระ ความคิดรวบยอด
หรือทักษะส่วนเนื้อหาสาระใดของวิชาใดไม่สามารถนำมาบูรณาการกันได้ก็ให้สอนตามปกติ
7. Threaded
เป็นรูปแบบการบูรณาการที่ใช้ทักษะใดทักษะหนึ่งที่ต้องการฝึกเป็นหลัก
เช่น ทักษะการคาดเดทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการวิเคราะห์
แล้วกำหนดเนื้อหาตลอดจนจัดการเรียนการสอนในแต่ละรายวิชา
ให้สัมพันธ์กับทักษะที่กำหนด ซึ่งจะเป็นกี่วิชาก็ได้
8. Integrated
เป็นการจัดหลักสูตรบูรณาการแบบสหวิทยาการ ที่นำเอาความรู้
ความคิดรวบยอด หรือทักษะที่เหลื่อมล้ำกันอยู่ของวิชาต่าง ๆ เช่น คณิตศาสตร์
วิทยาศาสตร์สังคมศึกษา ภาษาไทย ศิลปศึกษา มาวางแผนจัดสอนร่วมกันเป็นทีม
การบูรณาการแบบนี้เป็นการช่วยสร้างความเข้าใจ และความซาบซึ้งระหว่างวิชาต่าง ๆ
ให้กับผู้เรียน
9. Immersed
เป็นรูปแบบบูรณาการที่นักเรียนได้เรียนรู้เนื้อหาสาระในวิชาต่างๆ
และมีความสนใจในเนื้อหาวิชาด้านใดด้านหนึ่ง
แล้วนักเรียนใช้ความรู้เนื้อหานั้นในการศึกษาค้นคว้า
ซึ่งเปรียบเหมือนการใช้แว่นขยายประสบการณ์ของตนเองสร้างประสบการณ์ให้กับตนเอง
โดยในการหาประสบการณ์นั้นนักเรียนอาจจะต้องบูรณาการข้อมูลที่เรียนรู้ทั้งหมดมาใช้
10. Networked
เป็นรูปแบบบูรณาการที่กลั่นกรองความรู้ที่มิใช่จากการศึกษาค้นคว้าของนักเรียนเพียงอย่างเดียว
แต่นักเรียนจะได้เรียนรู้จากครู ผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงคุณวุฒิ
รวมทั้งการใช้เครือข่ายการเรียนรู้ เรียนรู้ทั้งภายในสาชาวิชาและนอกสาขาวิชา
แล้วเชื่อมโยงความรู้เข้ารวมด้วยกันทั้งหมดเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความคิดขยายออกไปเป็นแนวทางใหม่
ลักษณะและรูปแบบของการบูรณาการหลักสูตรดังกล่าว
จะเห็นได้ว่า มีวิธีการบูรณาการเนื้อหา วิชาต่างๆ เข้าด้วยกันได้หลายวิธี
มีทั้งแบบบูรณาการภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้เดียวกัน
บูรณาการระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้ และบูรณาการจากความคิดของผู้เรียนเอง
การเลือกใช้รูปแบบใดนั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของเนื้อหาสาระ ความคิดรวบยอด
เจตคติ และทักษะที่ต้องการเน้น
ซึ่งผู้สร้างหลักสูตรบูรณาการจะต้องรู้เนื้อหาสาระของหลักสูตรแล้วพิจารณาเลือกรูปแบบใช้ให้เหมาะสม
ตัวอย่างแผนการสอนโดยใช้วิธีการจัดการเรียรู้แบบบูรณาการ
ตัวอย่างแผนการสอนโดยใช้วิธีการจัดการเรียรู้แบบบูรณาการ
แผนการจัดการเรียนรู้
รายวิชา ส33101 สังคมศึกษา 5
สาระที่
2 หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
หน่วยการเรียนรู้ที่
3
เรื่ององค์กรระหว่างประเทศที่มีบทบาทด้านสิทธิมนุษยชน เวลา 2 ชั่วโมง
1. สาระสำคัญ
สิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องที่ประเทศต่าง ๆ ให้ความสำคัญ
ดังนั้นจึงทำให้เกิดองค์กรระหว่างประเทศมีบทบาทด้านสิทธิมนุษยชนขึ้นเป็นจำนวนมาก
เช่น องค์การสหประชาชาติ คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
องค์การนิรโทษกรรมสากล กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ
โดยองค์กรเหล่านี้ล้วนมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของมนุษย์ทุกคนอย่างเสมอภาคกัน
2. ตัวชี้วัดช่วงชั้น
ประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศต่าง
และเสนอแนวทางพัฒนา (ส 2.1 ม. 4–6/4)
3.
จุดประสงค์การเรียนรู้
1.
บอกบทบาทขององค์กรระหว่างประเทศที่มีบทบาทในด้านสิทธิมนุษยชนในเวทีโลกที่มีผลต่อประเทศไทยและประเทศต่างๆได้
(K)
2.
เห็นความสำคัญขององค์กรระหว่างประเทศที่มีบทบาทในด้านสิทธิมนุษยชนในเวทีโลกที่มีผลต่อประเทศไทย (A)
3.
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทขององค์ระหว่างประเทศที่มีบทบาทในด้านสิทธิมนุษยชนในเวทีโลกที่มีผลต่อประเทศไทยได้
(P)
4. สาระการเรียนรู้
• องค์กรระหว่างประเทศที่มีบทบาทในด้านสิทธิมนุษยชน
1.
คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
2. องค์การนิรโทษกรรมสากล ILO
3. องค์กรแรงงานระหว่างประเทศ
4. มูลนิธิความร่วมมือเพื่อต้านการค้าหญิง
5. มูลนิธิเพื่อยุติการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็ก ECPAT
5.
คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1.ซื่อสัตย์สุจริต
2. มีวินัย
3. ใฝ่เรียนรู้
4. มุ่งมั่นในการทำงาน
6.
ชิ้นงาน/ภาระงาน
1.นักเรียนสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน
2.นักเรียนทำกิจกรรมกลุ่มศึกษากรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชน
3. นักเรียนทำแผ่นพับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศต่างๆและบทบาทองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนที่ให้ความช่วยเหลือ
7. แนวทางบูรณาการ
ภาษาไทย ð
ฟัง พูด อ่าน เขียน
เกี่ยวกับองค์กรระหว่างประเทศที่มีบทบาทด้านสิทธิมนุษยชน
การงานอาชีพฯ ð
สืบค้นข้อมูลข่าวที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนและองค์กรระหว่างประเทศที่มีบทบาทด้านสิทธิมนุษยชน
การออกแบบแผ่นพับ
ศิลปะ ð
ทำนักเรียนทำแผ่นพับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศต่างๆและบทบาท
องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนที่ให้ความช่วยเหลือ
องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนที่ให้ความช่วยเหลือ
กระบวนการจัดการเรียนรู้
ขั้นที่
1 นำเข้าสู่บทเรียน ( ขั้นรับรู้)
1.
ครูแจ้งตัวชี้วัดช่วงชั้นและจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ
2.กิจกรรม Brain Gym เพลง “ กรรไกร ไข่ ผ้าไหม ” เพื่อเพิ่มพลังสมอง
3.ครูให้นักเรียนดู VTR แนะนำคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน
4.
ครูสนทนาเกี่ยวกับองค์กรระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน
ที่เข้ามามีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนแล้วนำเข้าสู่บทเรียน
ขั้นที่
2 กิจกรรมการเรียนรู้ ( ขั้นเชื่อมโยง)
5. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 5 กลุ่ม
ให้แต่ละกลุ่มศึกษารวบรวมข้อมูลขององค์กรด้านสิทธิมนุษยชนดังต่อไปนี้
6 ครูให้นักเรียนอ่านเนื้อหาเรื่อง
องค์กรระหว่างประเทศที่มีบทบาทด้านสิทธิมนุษยชนตามหัวข้อที่ได้รับผิดชอบ
กิจกรรมที่ 1 องค์การระหว่างประเทศที่มีบทบาทในด้านสิทธิมนุษยชน
กลุ่มที่ 1
คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
กลุ่มที่ 2
องค์กรนิรโทษกรรมสากล
กลุ่มที่ 3 องค์กรแรงงานระหว่างประเทศ
กลุ่มที่ 4 มูลนิธิความร่วมมือเพื่อต้านการค้าหญิง
กลุ่มที่ 5
มูลนิธิเพื่อยุติการแสวงหาประโยชน์ทางเพศของเด็ก
7.
ครูให้แต่ละกลุ่มวิเคราะห์ สรุป และบันทึกผล จากนั้นรายงานให้เพื่อน ๆ
ฟังหน้าชั้นเรียน แล้วเพื่อน ๆ แสดงความคิดเห็น
กิจกรรมที่
2
เรื่อง กรณีศึกษาการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านต่างๆและบทบาทขององค์การระหว่างที่ให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหา
8.
ในขณะปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียน
ให้ครูสังเกตพฤติกรรมในการทำงานและการนำเสนอผลงานของนักเรียนตามแบบประเมินพฤติกรรมในการทำงานเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่ม
ขั้นที่
3 ฝึกฝนผู้เรียน
9.
ครูให้นักเรียนให้นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 5
กลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มศึกษากรณีศึกษาเพื่อเชื่อมโยง
เกี่ยวกับองค์กรระหว่างประเทศที่มีบทบาทด้านสิทธิมนุษยชน
กลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2 เรื่องเปลือยชีวิตชาวโรฮิงญากับชีวิตที่มากกว่าคำว่า
“ โหดร้าย”
กลุ่มที่ 3
และกลุ่มที่ 4 เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิว
กลุ่มที่ 5 เรื่อง
“ตวล สเลง” ย้อนรอยคุกที่ไม่มีทางออก ในกรุงพนมเปญ
ขั้นที่ 4 ขั้นประยุกต์ใช้
10.
ครูให้นักเรียนทำแผ่นพับเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศอาเซียนหรือประเทศต่างๆทั่วโลกที่นักเรียนสนใจ
วิเคราะห์องค์กรระหว่างประเทศที่มีบทบาทด้านสิทธิมนุษยชนและให้ความช่วยเหลือกรณีดังกล่าวเพื่อเผยแพร่ความรู้แก่ครูและนักเรียนโดยนำไปวางไว้ในห้องสมุดโรงเรียนไทรน้อย
ขั้นที่
5 สรุป
11. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้เรื่ององค์กรระหว่างประเทศที่มีบทบาทด้านสิทธิมนุษยชน
12.
ครูให้นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียนและช่วยกันเฉลยคำตอบ
กิจกรรมเสนอแนะ
ครูให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเรื่องราวเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในยูทูปแล้วให้นักเรียนแสดงบทบาทสมมุติ
สรุป
การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ หมายถึง
กระบวนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนตามความสนใจ ความสามารถ
และความต้องการ โดยการเชื่อมโยงสาระการเรียนรู้ในศาสตร์สาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงพฤติกรรมของผู้เรียน
ทั้งทางด้านสติปัญญา(Cognitive) ทักษะ (Skill) และจิตใจ (Affective) สามารถนำความรู้และทักษะที่ได้ไปแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง
และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริงในชีวิตประจำวัน
การสร้างบทเรียนแบบบูรณาการ
การสอนตามรูปแบบที่ 1 (Infusion
Instruction) และรูปแบบที่ 2
(Parallel Instruction) มี 2 วิธีคือ วิธีที่หนึ่ง
เลือกหัวเรื่อง (Theme) ก่อนแล้วดำเนินการพัฒนาหัวเรื่องให้สมบูรณ์ มีกำหนดวัตถุประสงค์ของกิจกรรมให้ชัดเจน
กำหนดแหล่งข้อมูลหรือทรัพยากรที่จะใช้ในการค้นคว้าและเรียนรู้และพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนและอื่นๆ ตามลำดับ
วิธีที่สอง
เลือกจุดประสงค์รายวิชาจาก 2 รายวิชาขึ้นไปก่อน แล้วนำมาสร้างเป็นหัวเรื่อง (Theme) ที่ร่วมกันระหว่างจุดประสงค์ที่เลือกไว้กำหนดแหล่งข้อมูลหรือทรัพยากรที่ใช้ในการค้นคว้าและเรียนรู้และพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนและอื่นๆ
ลักษณะและรูปแบบของการบูรณาการหลักสูตรดังกล่าว จะเห็นได้ว่า มีวิธีการบูรณาการเนื้อหา วิชาต่างๆ เข้าด้วยกันได้หลายวิธี มีทั้งแบบบูรณาการภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้เดียวกัน บูรณาการระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้ และบูรณาการจากความคิดของผู้เรียนเอง การเลือกใช้รูปแบบใดนั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของเนื้อหาสาระ ความคิดรวบยอด เจตคติ และทักษะที่ต้องการเน้น ซึ่งผู้สร้างหลักสูตรบูรณาการจะต้องรู้เนื้อหาสาระของหลักสูตรแล้วพิจารณาเลือกรูปแบบใช้ให้เหมาะสม
ลักษณะและรูปแบบของการบูรณาการหลักสูตรดังกล่าว จะเห็นได้ว่า มีวิธีการบูรณาการเนื้อหา วิชาต่างๆ เข้าด้วยกันได้หลายวิธี มีทั้งแบบบูรณาการภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้เดียวกัน บูรณาการระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้ และบูรณาการจากความคิดของผู้เรียนเอง การเลือกใช้รูปแบบใดนั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของเนื้อหาสาระ ความคิดรวบยอด เจตคติ และทักษะที่ต้องการเน้น ซึ่งผู้สร้างหลักสูตรบูรณาการจะต้องรู้เนื้อหาสาระของหลักสูตรแล้วพิจารณาเลือกรูปแบบใช้ให้เหมาะสม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น